myHealthWorld myHealthThink myHealthPeek myHealthMob License AgreementPrivacy PolicySupport Center
Product
myHealthFirst myHealthCare myHealthMob myHealthThink myHealthRoom Plug Tablet
Service
Smart Hospital Corporate Wellness Home Monitoring
Download
myHealthFirst APK
Contact
Login
นํ้าผึ้ง นํ้าตาลมะพร้าว ดีกว่านํ้าตาลทรายจริงหรือ?

       ในปริมาณที่เท่ากัน นํ้าผึ้งและนํ้าตาลมะพร้าวมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่านํ้าตาลทรายจริง นอกเหนือจากความหวานและพลังงานแล้ว นํ้าผึ้งและนํ้าตาลมะพร้าวยังให้วิตามินและแร่ธาตุบ้าง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก นํ้าตาลทรายโดยเฉพาะ นํ้าตาลทรายขาว ถึงแม้จะทำมาจากอ้อยแต่ก็ผ่านกรรมวิธีการผลิตหลายขั้นตอน ตกผลึกให้เป็นเกล็ดและผ่านการฟอกสี ดังนั้น แทบจะไม่มีวิตามินหรือแร่ธาตุหลงเหลืออยู่เลยสำหรับนํ้าตาลทรายแดงพบว่า มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่บ้าง จึงดีกว่านํ้าตาลทรายขาวในปริมาณที่เท่ากัน นํ้าผึ้งและนํ้าตาลมะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่านํ้าตาลทรายเล็กน้อยInternational Tables of Glycemic Index andGlycemic Load Values : 2008 รายงานว่านํ้าตาลทรายและนํ้าผึ้งมีค่าดัชนีนํ้าตาลประมาณ 65% และ 61% ตามลำดับ สำหรับนํ้าตาลมะพร้าว ที่เคยทำการวิจัยโดยสถาบันโภชนาการพบว่า มีค่าดัชนีนํ้าตาลประมาณ 50% ซึ่งตํ่ากว่าค่าดัชนีนํ้าตาลของนํ้าตาลทรายและนํ้าผึ้ง อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบของนํ้าตาลมะพร้าวอาจมีความแตกต่างกันของแต่ละแหล่ง ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าดัชนีนํ้าตาลที่แตกต่างกันได้ จึงควรที่จะต้องดูฉลากอาหารและฉลากโภชนาการร่วมด้วยเสมอ นอกจากนี้ค่าดัชนีนํ้าตาลยังแตกต่างขึ้นอยู่กับอาหารที่กินร่วมด้วย ตลอดจนกระบวนการปรุงอาหาร รวมทั้งการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของระดับนํ้าตาลในเลือดของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดสามารถกินนํ้าผึ้งหรือนํ้าตาลมะพร้าวได้ แต่ก็ควรจำกัดปริมาณเช่นเดียวกับนํ้าตาลทรายที่รับประทานทั่วไป นั่นคือ นํ้าตาลเป็นส่วนหนึ่งของอาหารและไม่ควรกินเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

reference : หนังสือไขข้อข้องใจด้านอาหารและโภชนาการ

โพสต์เมื่อ : 28/04/2018
บทความที่คุณอาจสนใจ